>ร้านมิตรไทยปี 1997
>เจ๊เอง ปี 1998 ตอนหน้าหนาวแน่ ๆ
มีคนถามมาเยอะว่า ทำไมถึงเลิกทำร้านอาหาร ทั้ง ๆ ที่ดูกำลังไปได้ดีทีเดียว ตอนนั้น เราทำกัน 2 คน คนนึงทำกับข้าว คนนึงทำเครื่องดื่ม ร้านเราเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ ที่ทำโดยคนไร้ประสบการณ์ ร้านที่ดังมาก ๆ ตอนนั้นเป็น ร้านไทยใหญ่ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะแวะกินอาหารที่ทั้งอร่อย เยอะ ถูก เราไม่ได้จะคิดแข่ง เราแค่ต้องการมีร้านเล็กๆ ขายก๊อก ๆ แก็ก ๆ มีลูกค้าคนสองคน เราก็ดีใจแล้ว จริง ๆ เรายังไม่ลืมว่า เรามาปายเพื่อมาอยู่แบบสบาย ๆ กินกาแฟ ช้า ๆ อ่านหนังสือ วาดรูป เหมือนคนขี้เกียจน่ะ
แต่ทว่า สิ่งประหลาดไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฝรั่งเริ่มบอกปากต่อปาก ว่ามีร้านอาหารเล็ก ๆ ชื่อ มิดไต มิดไต อาหร่อยจนพวกพี่ ๆ เพื่อนๆ ชอบอำอยู่เรื่อยว่า ดังไปถึงเมืองนอกแล้ว ช่วงปีแรก จะเป็นกิจวัตรเลย ประมาณนี้ 4 โมงเย็นเปิดร้าน ฝรั่งจะมายืนรอ อากาศมันจะร้อน ๆ พวกนักท่องเที่ยวเค้าต้องการร้านที่เย็น ๆ นั่ง ชิล ๆ สั่งน้ำปั่น น้ำเย็นมากิน นั่งเม้าท์เรื่องที่ไปขี่จักรยาน ไปเที่ยวมาเมื่อเช้า วางแผนเรื่องเที่ยววันต่อไป นั่งเล่นไพ่ก็มี เอาเครื่องดนตรีมาเล่นแจมกัน สัก 5 โมงเย็น ก็จะว่างซักแป๊บนึง พวกเค้าจะกลับไปอาบน้ำ แต่งตัวสวยนิดนึง ประมาณหนุ่มเหล่สาว สาวเหล่หนุ่ม มากินข้าวที่ร้าน แล้วก็ต่อ บีบอบ ตอนนั้นอยู่ข้าง ๆ ร้านมิตรไทย ปีแรก โอเคค่ะ สนุกมาก ช่วงปีใหม่ เพื่อน ๆ ที่กรุงเทพ ก็มาหากินเหล้าไปขายไป เคาท์ดาวน์พร้อม ๆ กับลูกค้า หนุกหนาน และอบอุ่น
ปีที่สอง ชักหนักข้อค่ะ ปากต่อปากนี่มันรุนแรง สำหรับร้านเล็ก ๆ มาก เพราะที่ร้านเล็กมาก คนสองคน สามารถรับลูกค้าได้วันละคนนี่ ก็เหนื่อยมาก เพราะอาหารต้องทำใหม่ทุกจาน เรามีโต๊ะ 8 โต๊ะ นั่งครบทุกโต๊ะ ก็ประมาณ 30 มากสุดคน มาพร้อมกัน คนสุดท้ายงงมาก ว่า ทำไมเขาสั่ง น้ำมะนาวตอน หนึ่งทุ่ม ได้ตอน สองทุ่มครึ่ง สุดยอดของความช้า ด้วยความไร้ประสบการณ์ และใช้ มือทำทุกอัน ทะเลาะกับลูกค้าเรื่องความช้าเยอะมาก มีคนรอต่อคิวจะนั่งต่อด้วย เราก็ อื้อหือ ไม่อยากได้อีกแล้ว ช่วงนั่นเราปรับแผนการทำงานเกือบทุกวัน ลดเมนู ลดโต๊ะ เริ่มเหนื่อย ตื่นเช้ามาไปตลาด กลับบ้านก็กินกาแฟ แล้วก็นอนเอาแรง ไปร้านบ่ายสี่โมง ไม่ได้วาดรูป ไม่ได้ไปขี่จักรยาน หรือทำอะไรเรื่อยเปื่อยอีก
จนถึงวันปีใหม่ปีที่สอง เศร้ามาก เป็นปีที่ไม่มีเพื่อนมาเยี่ยม เราก็ต้อนรับนักท่องเที่ยวล้วน ๆ เยอะ ๆ เต็มร้าน ตอนเคาท์ดาวน์ เราสองคน ยังล้างจานอยู่ในครัว จานเต็มอ่าง หนาว ก็ หนาว มองหน้ากัน ก็พยักหน้า พอเถอะวันนี้ ไปฉลองปีใหม่ พรุ่งนี้ค่อยเคลีย เราก็อดทนไปอีกปีจนถึงปีใหม่ปีที่ 3 ประมาณวันคริสมาส มันก็มาเหมือนเดิม คนเยอะ งานเยอะ เฮียเค้ารู้สึกว่า มันไม่ใช่เค้า เค้าไม่ชอบทำอาหาร เสริฟ ล้างจาน ชอบคำพูดของเฮียที่ว่า “เฮ้ย ก๋ำกูว่า มือกูทำได้มากกว่าทำน้ำปั่นแก้วละ 20 ว่ะ ” เราก็สะดุ้งเลย เหมือน เรากำลังมาผิดทางหรือเปล่า เรากำลังไม่มีความสุข เราไม่ได้ชอบทางนี้ เราจึงเหนื่อย จริง ๆ
เฮียเสนอว่า เอาให้ผ่านปีใหม่นี้ก็ได้ เราจะทำจนถึงเดือนมีนาคม แล้วมันจะเข้าหน้าโลว์ ค่อยเลิกขายอาหาร แต่เรารู้สึกว่า หยุดเลยดีกว่า อะไรที่ไม่มีความสุข เราไม่จำเป็นต้องฝืนทำ อาจจะดูเหมือนดัดจริต แต่ในวันนั้น เราก็เบื่อมันจริง ๆ ตั้งแต่ที่ตัดสินใจมาปาย ลึก ๆ ในใจ เราอยากให้ชีวิตที่เหลือของเรา ให้มีความสุขทุกวัน การตัดสินใจเลิกขายอาหารวันนั้น มันทำให้เราค้นพบว่า พอเราเลิกทำอย่างนึง เราก็จะมีเวลาไปทำอีกอย่างนึง ยิ่งเป็นสิ่งที่เราชอบ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ชีวิตเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ได้อีก
เจ๊คะ…สายตาหนูถูกทารุณกรรมมาทั้งวันแล้ว
อ่านเรื่องวันนี้เจ๊ได้แบบปวดตาสิ้นดี
เป็นเอนทรี่ทดสอบสายตาหรือเปล่าคะ ว่าตาดีมองเห็นไหม รู้สึกไหมว่า…พอเลิกทำอย่างนึง เราก็จะมีเวลาไปทำอีกอย่างหนึ่ง
เจ๊กำลังสอนว่าอย่าจับปลาสองมือหรือเปล่าคะ
อ่ะคริคริคริ 😀
ท่าทางแขกแก้วจะเต็มร้านมิตรไทย
ดีแล้วปี้แก้ว…
อี่น้องรดน้ำเล่นสงกรานต์กับปี้ตรงนี้เลยนะเจ้า
มีความสุขกับจีวิตเจ้า
ขอบคุณจั๊กนักเจ้า แม่เพลง
ขอรดน้ำแม่เพลง ฮื้อชีวิตอยู่เย็นสบาย มีฟามสุขตาหลอด ตาหลอดกาลเลยนะปี้เจ้า
ที่บอกว่า ฮื้อเลิกทำอย่างนึง แล้วเฮาจะมีเวลาไปทำอีกอย่างนึง
ขะเจ้าหมายถึง
“เวลาที่เราประสพความสำเร็จอย่างนึงแว้ว
พอถึงจุดหนึ่ง กลับไม่ใช่เรา
เราต้องกล้าที่จะตัดสินใจเลิก
ถึงแม้จะหมายถึง
เราต้องไปเริ่มต้นทำสิ่งใหม่อีก นับหนึ่งใหม่อีก
ก็ไม่ต้องเสียดายสิ่งที่ทำไป ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต
การค้นพบว่า เราเหมาะที่จะทำอะไร ชอบทำอะไรแน่ แล้วลงมือทำเลย สำคัญกว่า”
มันก็ไม่ใช่ หมายถึงจับปลาสองมือซะทีเดียวนะเจ๊ว่า
เล็กๆ ก็ อิ่มสุขเนอะ…
ปีนี้ตั้งใจจะไปปายให้ได้ครับ
หลังจากที่ไม่ได้เก็บกระเป๋าเดินทางนานแล้ว…
เจอกันก็ทักทายกันบ้างนะจั๊ม
ดีจังค่ะ ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก